ร้านเวชภัณฑ์ เป็นร้านค้าที่จำหน่ายอุปกรณ์และวัสดุทางการแพทย์ รวมถึงยาและสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพที่ใช้ในการรักษาดูแลผู้ป่วยทั้งใน และนอกสถานพยาบาล โดยสินค้าที่วางจำหน่ายในร้านเวชภัณฑ์มีตั้งแต่ยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์หรือเภสัชกรไปจนถึงยาที่ขายตามร้านค้าปลีก นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น สเต็ทโทสโคป, ชุดฉีดยา, เครื่องวัดความดัน และอุปกรณ์เคลื่อนย้ายผู้ป่วย เช่น วีลแชร์ และยังอาจรวมถึงสินค้าสำหรับการฟื้นฟูสภาพ ผลิตภัณฑ์การดูแลผู้สูงอายุ อุปกรณ์สนับสนุนการเคลื่อนไหวสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหวหรือความพิการต่างๆ บางร้านมีบริการเช่าอุปกรณ์ทางการแพทย์และบริการหลังการขาย เช่น การซ่อมแซมอุปกรณ์ และจัดส่งสินค้าถึงบ้านผู้ป่วย ในปัจจุบันมีร้านเวชภัณฑ์ค่อนข้างเยอะ ดังนั้นถ้าอยากได้ร้านที่ดีมีคุณภาพก็จำเป็นที่จะต้องเลือกให้ดี ด้วยการพิจารณาจากสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้

การเลือกซื้อสินค้าจากร้านเวชภัณฑ์ให้ได้สินค้าคุณภาพดีและเหมาะสมกับการนำไปใช้งาน

  1. ตรวจสอบความต้องการจริง ก่อนซื้อควรรู้ว่าคุณหรือผู้ที่ต้องการใช้สินค้านั้นต้องการอะไรบ้างจริงๆ เช่น ยา, อุปกรณ์ช่วยการเคลื่อนไหว หรือวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ เป็นต้น
  2. ความเชื่อถือของร้าน ควรเลือกร้านที่มีชื่อเสียงดี มีใบอนุญาตการค้าที่ถูกต้อง และมีการรีวิวหรือข้อเสนอแนะจากลูกค้าคนอื่นๆ ที่เชื่อถือได้
  3. คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับสินค้าบางประเภท เช่น เครื่องมือแพทย์หรือยา ควรมีการแนะนำหรือสั่งซื้อโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์หรือเภสัชกร
  4. ศึกษาข้อมูลสินค้า อ่านรายละเอียดสินค้า, วันหมดอายุ, ข้อบ่งชี้, และคำเตือนให้ละเอียด หากมีข้อสงสัยควรถามผู้ขายหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
  5. เปรียบเทียบราคา บางครั้งสินค้าเดียวกันอาจมีราคาแตกต่างกันในแต่ละร้าน การเปรียบเทียบราคาก่อนซื้อสามารถช่วยให้คุณได้ราคาที่ดีที่สุด
  6. บริการหลังการขาย ควรที่จะต้องตรวจสอบนโยบายการคืนสินค้า และการบริการหลังการขายของร้านว่ามีอะไรบ้าง เช่น การรับประกันสินค้า

สุดท้ายนี้เราหวังว่าข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกซื้อสินค้าจากร้านเวชภัณฑ์ที่เราได้เอามาฝากข้างต้นนี้ จะช่วยให้คุณสามารถเลือกซื้อสินค้าจากร้านเวชภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น และได้รับสินค้าที่ดีมีคุณภาพในการนำไปใช้งานได้นะคะ

 

อาหารเสริมแคลเซียม ผู้สูงอายุ

แคลเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างกระดูกและฟัน รวมถึงการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ สำหรับผู้สูงอายุ ความต้องการแคลเซียมเพิ่มขึ้นเนื่องจากกระดูกเริ่มเสื่อมสภาพและการดูดซึมแคลเซียมลดลง ดังนั้นอาหารเสริมแคลเซียม ผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับกระดูก

 

ความสำคัญของอาหารเสริมแคลเซียม ผู้สูงอายุ

  • การเสริมสร้างกระดูก: ช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนและกระดูกหัก
  • การทำงานของกล้ามเนื้อ: ช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การทำงานของระบบประสาท: ช่วยส่งสัญญาณประสาทได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับ

  • ผู้สูงอายุควรได้รับอาหารเสริมแคลเซียม ผู้สูงอายุประมาณ 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน แต่อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสุขภาพทั่วไปและคำแนะนำของแพทย์

 

ประเภทของอาหารเสริมแคลเซียม ผู้สูงอายุ

  • แคลเซียมคาร์บอเนต (Calcium Carbonate): มีราคาถูกและมีปริมาณแคลเซียมสูง รับประทานพร้อมอาหารเพื่อช่วยในการดูดซึม
  • แคลเซียมซิเตรท (Calcium Citrate): ดูดซึมได้ดีในขณะที่ท้องว่าง
  • แคลเซียมฟอสเฟต (Calcium Phosphate): มีส่วนผสมของฟอสเฟตซึ่งช่วยเสริมสร้างกระดูก
  • แคลเซียมแลคเตท (Calcium Lactate): ดูดซึมได้ง่าย แต่มีปริมาณแคลเซียมต่อเม็ดน้อย

 

ข้อดีและข้อเสียของการใช้อาหารเสริมแคลเซียม ผู้สูงอายุ

ข้อดี

  • ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
  • ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน
  • ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ

 

ข้อเสีย

  • การได้รับแคลเซียมมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหา เช่น นิ่วในไต
  • อาจมีผลข้างเคียง เช่น ท้องผูก หรือท้องอืด

 

วิธีการเลือกอาหารเสริมแคลเซียม ผู้สูงอายุ

  • ปรึกษาแพทย์: ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกประเภทและปริมาณที่เหมาะสม
  • ตรวจสอบฉลาก: ตรวจสอบปริมาณแคลเซียมที่ได้รับต่อเม็ดและเลือกประเภทที่เหมาะสม
  • เลือกรูปแบบที่สะดวก: มีทั้งเม็ด, แคปซูล, ผง และของเหลว

 

คำแนะนำในการรับประทานอาหารเสริมแคลเซียม ผู้สูงอายุ

  • ควรรับประทานพร้อมอาหารเพื่อเพิ่มการดูดซึม
  • ควรแบ่งการรับประทานเป็นหลายๆ ครั้งต่อวัน
  • ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยลดปัญหาท้องผูก

 

การรับประทานอาหารเสริมแคลเซียม ผู้สูงอายุเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับกระดูกและกล้ามเนื้อ การเลือกอาหารเสริมแคลเซียมที่เหมาะสมกับร่างกายและรับประทานตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้ได้รับประโยชน์สูงสุดในการรักษาสุขภาพกระดูกให้แข็งแรงและสมบูรณ์

image001

 

ใครที่กำลังเป็นโรคข้อเสื่อม คงไม่ต้องบอกนะครับว่าปวดแค่ไหน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมีวิธีการที่จะเข้ามาช่วยในการบรรเทาอาการปวดจากโรคข้อเสื่อม เพื่ออาการทุเลาลง วันนี้เราได้รวบรวมวิธีการบรรเทาปวดหรือแก้อาการปวดเนื่องจากโรคข้อเสื่อมเอามาฝากกัน ไปอ่านกันครับว่ามีวิธีไหนบ้าง

– วิธีปะคบร้อน

วิธีนี้นั้นจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อรอบๆข้อเสื่อมที่ปวดนั้น ผ่อนคลายลงได้ คุณอาจจะประคบร้อนบริเวณข้อเสื่อมที่ปวดด้วยน้ำมันพาราฟินอุ่น ผ้าห่มไฟฟ้า กระเป๋าน้ำร้อน โคมไฟให้ความร้อน แต่ต้องระมัดระวังอย่าให้ผิวไหม้นะครับ

– วิธีประคบเย็น

วิธีนี้นั้นจะทำหน้าที่เหมือนยาชาเฉพาะที่ จะเข้าไปช่วยลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ การประคบเย็นจะช่วยคลายปวดข้อเสื่อมเมื่อต้องเกร็งกล้ามเนื้ออยู่ในท่าเดียวเป็นเวลานานๆครับ

– วิธีเข้าเฝือก

วิธีนี้นั้นจะเป็นการช่วยให้ข้อเสื่อมที่ปวดนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อเวลาที่เรานั้นไปออกกำลังกายและช่วยพยุงให้ข้อเสื่อมนั้น สามารถอยู่นิ่งๆได้ในเวลานอนกลางคืน

วิธีผ่อนคลาย

ยกตัวอย่างเช่น การสะกดจิต การฝึกจินตนาการ การฝึกหายใจ การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรือวิธีอื่นๆ ก็อาจช่วยทำให้ลดความเจ็บปวดจากข้อเสื่อมได้เช่นกันครับ

ลองนำวิธีการเหล่านี้ไปใช้ในการลดอาการปวดของข้อเสื่อมกันนะครับ น่าจะช่วยทำให้อาการปวดจากข้อเสื่อมเราบรรเทาลงได้มากเลยทีเดียว ขอให้คนที่เป็นโรคข้อเสื่อมอยู่ หายไวๆนะครับ

พาร์กินสัน

 

กีฬา…กีฬา เป็นยาวิเศษ เพลงนี้เราทุกคนได้ยินกันจนคุ้นหู ร้องไห้กันจนคุ้นปาก รู้ไหมคะว่า การออกกำลังกายนอกจากจะทำให้รูปร่างดีมีหุ่น S Line แล้ว ยังทำให้เรามีสุขภาพดี และช่วยโรคพาร์กินสันอีกด้วยค่ะ

โรคพาร์กินสันเกิดจากการเสื่อมของเซลล์ประสาท ทำให้สมองเรามีการหลั่งพามีนน้อยลง ซึ่งการรักษานอกจากใช้ยาแล้ว การออกกำลังกายก็นับว่าเป็นการรักษาที่ดีสำหรับผู้ป่วยโรคนี้ค่ะ หลายคนอาจจะสงสัยว่า โรคพาร์กินสันทำให้ร่างกายของเราเกิดการสั่นไม่ใช่เหรอ แล้วจะออกกำลังกายได้ดีหรือ? แน่นอนค่ะว่าการออกกำลังกายนั้นสามารถช่วยบรรเทาอาการจากโรคนี้ได้ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ดียิ่งขึ้น แล้วการออกกำลังกายแบบไหนล่ะ ที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน… การวิ่งเหยาะ ก็เพียงพอที่จะทำให้ร่างกายได้ผ่อนคลายแล้วค่ะ นอกจากนี้การปั่นจักรยาน การว่ายน้ำ ก็สามารถรักษาอาการของโรคนี้ได้เช่นกัน การบริหารร่างกายเฉพาะส่วน เช่น บริหารคอ ไหล่ ขา ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมร่างกายได้ดีมากขึ้นค่ะ

จำไว้อย่างหนึ่งว่า โรคนี้ต้องรักษากันแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่าใจร้อน หากไม่มีเวลาไปออกกำลังตามสถานที่ต่างๆ เราก็สามารถทำที่บ้านได้ง่ายๆ เช่น การแกว่งแขน เดินไป-กลับ บริหารข้อเท้าทุกวัน หมั่นปรึกษาแพทย์เพื่อรับรู้อาการของโรคและแนวทางการรักษา เพียงเท่านี้โรคพาร์กินสัน ก็ไม่อันตรายสำหรับเราแล้วค่ะ